ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ใน จอมทอง, เชียงใหม่

ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ใน จอมทอง, เชียงใหม่

คุณต้องการใช้บริการนี้เมื่อไหร่?
ตอนนี้
ระบุวันที่

วิธีการทำงาน

Saijai

ติดต่อเรา

ติดต่อเราโดยตรงผ่าน LINE OA เพื่อจองบริการที่คุณต้องการ

Saijai

แจ้งรายละเอียดให้เราทราบ

เลือกบริการ วันที่ เวลา และสถานที่ที่คุณต้องการให้ตรงกับความต้องการของคุณ

Saijai

ยืนยันการจองของคุณ

เราจะยืนยันการจองของคุณภายใน 24 ชั่วโมงผ่านทาง LINE OA

ยังไม่มีข้อมูลผู้ให้บริการ
ยังไม่มีข้อมูลผู้ให้บริการ

ข้อมูลสถิติน่าสนใจเกี่ยวกับ

Saijai จำนวนประชากร
Saijai จำนวนประชากรเด็ก (แรกเกิด-14 ปี)
Saijai จำนวนประชากรสูงอายุ (60 ปี ขึ้นไป)
Saijai จำนวนสัตว์เลี้ยง สุนัข

รีวิวล่าสุด

ง่ายตั้งแต่ขั้นตอนการติดต่อหาคนดูแลเลยค่ะ ใส่ใจดูแลให้หมดทุกอย่างเลย แค่บอกว่าต้องการคนดูแลแบบไหนบ้าง ประทับใจมากค่ะ
Saijai
กมลชนก วิสุทธิสาร
3 ปีที่แล้ว
ดูแลดี ไว้ใจได้ หายห่วงค่ะ
Saijai
กานต์ศรันย์ เจริญกิจธารา
3 ปีที่แล้ว
ผู้ดูแลคอยช่วยพูดให้กำลังใจ คอยดูแลเรื่องต่าง ๆ ให้ จนตอนนี้คุณพ่อกลับมายิ้มร่างเริงได้อีกครั้งแล้วค่ะ
Saijai
อนันตา ไวยากูล
4 ปีที่แล้ว
แม่ยายผมเป็นมะเร็งครับ หาคนมาดูแลหลายคนแล้ว ทำงานไม่ได้นานก็ลาออก สู้งานไม่ไหว ผมมาเจอเว็บใส่ใจ เลยลองเรียกใช้บริการคนดูแลผ่านทางนี้ดู ทุกอย่างถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีครับ
Saijai
ภุชงค์ จิตเสนา
4 ปีที่แล้ว
คุณปู่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายต้องอยู่โรงพยาบาลหลายเดือน ทางโรงพยาบาลต้องให้มีคนเฝ้าอย่าง 1 คนที่ต้องอยู่ด้วยตลอด ผมเลยจ้างคนดูแลที่หาเจอบนเว็บไซต์ใส่ใจ ประทับใจครับ
Saijai
มานิตย์ ยิ้มสว่าง
4 ปีที่แล้ว

คำถามที่พบบ่อยสำหรับการค้นหา ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ใครคือผู้ป่วยระยะสุดท้ายและอะไรคือจุดมุ่งหมายของการดูแล
ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหมายถึงผู้ที่ป่วยด้วยอาการป่วยที่เป็นระยะท้าย ๆ ของโรค ไม่สามารถรักษาอาการป่วยให้หายและคาดว่าจะมีชีวิตอยู่อีกไม่เกิน 1 ปี จุดมุ่งหมายของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายคือการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ซึ่ง WHO (World Health Organization) ได้ให้คำจำกัดความอีกว่า เป็นการดูแลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย (ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก) และครอบครัวที่มีปัญหาเกี่ยวกับความเจ็บป่วยที่คุกคามชีวิต รวมถึงการป้องกันและบรรเทาความทุกข์ทรมาน หรือการดูแลเพื่อบรรเทาอาการ หรือวิธีการดูแลผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด มีแนวโน้มที่ทรุดลง หรือเสียชีวิตจากตัวโรคในอนาคต หรือป่วยอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต เน้นการดูแลแบบองค์รวมทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณของทั้งผู้ป่วย ครอบครัวและผู้ดูแล มีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและครอบครัว ที่จะทำให้ผู้ป่วยได้เสียชีวิตอย่างสงบ สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตลอดจนการดูแลครอบครัวและญาติภายหลังการจากไปของผู้ป่วย ซึ่งแนวทางการดูแลนั้นเริ่มจากเมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด จนกระทั่งป่วยอยู่ในระยะท้าย หรือกำลังจะเสียชีวิตจากโรค โดยสามารถดูแลควบคู่ไปกับการรักษาเฉพาะ สำหรับโรคนั้น ๆ โดยคำนึงถึงสิทธิ์ในการรับรู้ข้อมูลการเจ็บป่วยเมื่อผู้ป่วยและครอบครัวในต้องการ ให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้แสดงความต้องการของตนเองและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องแนวทางการรักษาและเป้าหมายของการดูแลรักษา เน้นการมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพและยอมรับ ความตายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของทุกชีวิต ด้วยหวังให้ผู้ป่วยได้จากไปอย่างสงบไม่มีเรื่องติดค้างไว้เบื้องหลัง
ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายควรมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายไม่ใช่การดูแลเพียงเฉพาะสุขภาพกายเท่านั้น แต่รวมไปถึงการดูแลสภาพจิตใจด้วย ซึ่งเป็นการดูแลแบบประคับประคองในช่วงสุดท้ายของโรคเพื่อให้ผู้ป่วยสุขสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ การพูดคุยสอบถามความต้องการของญาติถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายไม่มีแบบแผนที่ตายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของญาติเป็นสำคัญ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายต้องเผชิญกับอาการป่วย ที่ก่อให้เกิดความไม่สุขสบายต่าง ๆ และทำให้สภาพร่างกายเสื่อมโทรมลง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงจำเป็นต้องมีผู้ดูแลช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ

ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายควรมีคุณสมบัติดังนี้

1. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคและอาการของผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่กำลังดูแลอยู่เป็นอย่างดี เช่น ผู้ป่วยระยะสุดท้ายจะมีการสูญเสียความอยากอาหาร เนื่องจากกลไกของร่างกายที่ไม่สามารถย่อยอาหารได้ ผู้ดูแลไม่ควรบังคับให้ผู้ป่วยรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเครียด และระบบการทำงานของร่างกายผู้ป่วยที่เปลี่ยนไปซึ่งมาจากระบบย่อยอาหารไม่สามารถทำงานได้ อาจทำให้ผู้ป่วย สำลัก หรืออาเจียน ผู้ดูแลควรมีความรู้เกี่ยวกับอาการเหล่านี้ของผู้ป่วยเป็นอย่างดี
2. มีใจรักและพร้อมดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างเต็มที่ เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีความวิตกกังวล ความเครียด มากกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ รวมถึงอาการหลาย ๆ อย่างที่แสดงออกมา เช่นในระยะสุดท้ายผู้ป่วยจะสูญเสียการพูดและการมองเห็น ผู้ดูแลอาจจะคิดว่าผู้ป่วยไม่รับรู้อะไรแล้ว แต่ในผู้ป่วยบางรายประสาทการฟังยังทำงานได้อยู่ รับรู้ในสิ่งที่ผู้คนรอบข้างคุยกัน ผู้ดูแลจึงไม่ควรบ่น หรือใช้คำพูดที่อาจกระทบกระเทือนใจผู้ป่วยได้
3. สามารถอำนวยความสะดวกในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยอย่างเต็มที่ การดูแลจะต้องทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายที่สุด ทำความสะอาดร่างกายให้ผู้ป่วยในแต่ละวันเช่น ทำความสะอาดปาก โดยใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำเช็ดทำความในปาก หยอดน้ำตาเทียม ไม่ให้ตาแห้ง พลิกตัวผู้ป่วยทุก ๆ 2 ชั่วโมง ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สุขสบาย และทำกายภาพบำบัด เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อเกร็งหด และลดอาการปวดได้
สิ่งที่คุณควรตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถไว้ใจผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่คุณจ้างมาได้
ในยุคสังคมวัตถุนิยมเพราะสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้หลายๆ คนไม่มีเวลาดูแลผู้ป่วยในบ้าน ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยในระยะสุดท้ายด้วยแล้ว ยิ่งต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้นผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่จะหามาดูแลญาติของเรานั้นจะไว้ใจเขาได้อย่างไร? เพราะผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญมาก เรามาดูกันค่ะ

1. ควรตรวจสอบวุฒิการศึกษาและประวัติการทำงานของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เนื่องจากผู้ป่วยระยะสุดท้ายจะได้รับการรักษาแบบประคับประคองตามอาการดังนั้นผู้ดูแลจะมีส่วนสำคัญในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีที่สุด
2. ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ควรมีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปและควรผ่านการอบรมหลักสูตร พนักงานผู้ช่วยพยาบาล (โดยมีการเรียนการสอนและการฝึกปฏิบัติงานเกี่ยวกับผู้สูงอายุ และผู้ป่วย)
3. มีการตรวจสอบผลการตรวจสุขภาพผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายก่อนเข้าทำงาน เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
4. มีการพูดคุยถึงอาการของผู้ป่วยระยะสุดท้ายกับผู้ดูแลก่อน หรือลองยกตัวอย่างคำถามเพื่อให้ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้แก้ไขสถานการณ์ หลังจากนั้นก็ทำการประเมินผลว่าคำตอบที่ได้เป็นที่น่าพอใจและน่าไว้วางใจให้ผู้ดูแลอยู่กับผู้ป่วยอยู่ตามลำพังได้หรือไม่
5. ลองทดสอบการทำงานของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายว่าสามารถปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วและมีประสบการณ์ที่เพียงพอหรือไม่ก่อนทำการจ้างงาน เพื่อลดความกังวลของผู้ว่าจ้าง
แนวทางในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
เทคโนโลยีการแพทย์ในปัจจุบันที่พัฒนาเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยจากโรคร้ายแรงหายจากอาการป่วยมากขึ้น แต่ยังมีผู้ป่วยประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถรักษาให้หายและกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ นั่นคือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ความทุกข์ทรมานใจที่ตามมาไม่เพียงส่งผลต่อตัวผู้ป่วยเอง แต่ยังกระทบไปถึงครอบครัวของผู้ป่วยด้วย การดูแลที่ดีช่วยให้ตัวผู้ป่วยและญาติพร้อมปรับตัวเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วย ให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ความสำคัญของการดูแลผู้ป่วยคือต้องยอมรับว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีเวลาเหลืออีกไม่นาน หากทำใจยอมรับได้การดูแลจะเป็นไปได้ด้วยดี

แนวทางในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายมีดังนี้

1. ต้องมีการประเมินสภาพของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เช่น รับประทานอาหารได้น้อยลง ร่างกายอ่อนเพลีย นอนหลับมากขึ้น การหายใจที่สั้นลง และหยุดเป็นพักๆ รวมถึงความเจ็บปวดต่างๆที่เกิดกับตัวผู้ป่วย หากมีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อที่จะได้รักษาได้ถูกต้องต่อไป แต่หากผู้ป่วยไม่สามารถพูดคุยหรือแจ้งอาการเจ็บป่วยของตัวเองได้ ผู้ดูแลต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วย เช่น ซึมเศร้า ตกใจ เป็นต้น
2. หากผู้ป่วยมีอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย แม้จะได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ผู้ดูแลควรหากิจกรรมที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เช่น การดูหนัง ฟังเพลง โดยผู้ดูแลจะต้องอำนวยความสะดวกต่างๆให้ผู้ป่วยใช้พลังงานน้อยที่สุด เช่น ช่วยประคองผู้ป่วยเมื่อ เดิน หรือยืน
3. การดูแลด้านอาหารการกิน ผู้ป่วยระยะสุดท้ายอาจมีอาการปฏิเสธอาหารและความอยากที่ลดลง สาเหตุจาก การรับรสและกลิ่นที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้ป่วยไม่อยากรับประทานอาหาร สิ่งเหล่านี้เป็นกลไกของร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ควรฝืนให้ผู้ป่วยรับประทาน เพราะจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัดทั้งกายและใจ บางครั้งอาจบรรเทาได้โดยการ ให้แพทย์ให้ยากระตุ้นความอยาก เป็นต้น
4. ผู้ป่วยระยะสุดท้ายอาจเผชิญปัญหาด้านสภาวะอารมณ์ เช่น ความกลัว วิตกกังวล ญาติและผู้ดูแลควรพูดให้กำลังใจ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย บรรเทาความทุกข์ใจ
5. ผู้ป่วยและทางญาติ สามารถตัดสินใจได้ว่า ต้องการการดูแลในสถานที่ใด หากดูแลที่บ้าน แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลให้สมาชิกในครอบครัว หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยผู้ป่วยบรรเทาจากความเจ็บป่วยทางกาย และให้กำลังใจผู้ป่วย เพื่อลดความกังวลต่างๆ แต่หากต้องการดูแลที่สถานพยาบาล เนื่องจาก ไม่มีผู้ดูแลที่บ้าน หรืออาการเจ็บปวดที่ไม่บรรเทาเมื่อได้รับการดูแลที่บ้าน แม้ว่าการดูแลในโรงพยาบาลจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยกว่า แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป