สอนหลักสูตรการศึกษา ใน บางเขน, กรุงเทพมหานคร

สอนหลักสูตรการศึกษา ใน บางเขน, กรุงเทพมหานคร

คุณต้องการใช้บริการนี้เมื่อไหร่?
ตอนนี้
ระบุวันที่
ผู้ให้บริการสอนหลักสูตรการศึกษา ใน บางเขน, กรุงเทพมหานคร:

วิธีการทำงาน

Saijai

ติดต่อเรา

ติดต่อเราโดยตรงผ่าน LINE OA เพื่อจองบริการที่คุณต้องการ

Saijai

แจ้งรายละเอียดให้เราทราบ

เลือกบริการ วันที่ เวลา และสถานที่ที่คุณต้องการให้ตรงกับความต้องการของคุณ

Saijai

ยืนยันการจองของคุณ

เราจะยืนยันการจองของคุณภายใน 24 ชั่วโมงผ่านทาง LINE OA

ธีรกานต์ อาจสอน
ธีรกานต์ อาจสอน
Saijai ประสบการณ์ 5 ปี

เป็นติวเตอร์ที่รับผิดชอบ ตรงต่อเวลา สอนสนุกค่ะ

แสดงเพิ่มเติม
Watchana  Osakul
Watchana Osakul
Saijai ประสบการณ์ 0-1 ปี
ศิริพร เพ็ชรรัตน์
ศิริพร เพ็ชรรัตน์
Saijai ประสบการณ์ 3-4 ปี

ประสบการณ์สอน (ปี) : สอนมาแล้ว3ปี ปัจจุบันสอนติวเข้ามัธยม1,4 และประถม

รายละเอียด : (ตัวอย่าง)

- คณิต ระดับอนุบาล ประถม สอบเข้าม.1

- คณิต ม.2 ม.4 สอบเข้าเตรียมทหาร

- วิทย์ ประถม และสอบเข้าม.1

- สังคม ประถม สอบเข้าม.1 และสอบเข้าม.4 เตรียมอุดม

- ภาษาไทย อนุบาล ประถม สอบเข้าม.1 และ ม.4เตรียมอุดม

- อังกฤษ อนุบาล ประถม และสอบเข้าม.1

- จีน ปูพื้นฐาน ประถม

เป็นติวเตอร์สอนตามบ้านมา3ปี เป็นติวเตอร์สถาบันสอบเข้ารร.บดินทรเดชา และเป็นติวเตอร์สถาบันสอบเข้าเตรียมทหารลานทอง

ผลงาน / รางวัล :

สอบผ่านการวัดระดับภาษาจีน HSK5

สอบชิงทุนไปเรียนจีนระดับป.ตรีผ่าน (เหตุไม่ได้ไปเพราะติดโควิด)

สอนติวนร.สอบติดม.1 รร.สวนกุหลาบนนท์ได้

สอนติวนร.สอบติดม.1ห้องกิฟต์ได้ รร.สาธิต

สอนติวนร.สอบติดม.4รร.เตรียมอุดมได้

***สามารถให้ติวเตอร์ส่งแนบรูปสอนหรือคลิปการสอนให้ได้ค่ะ***

(สามารถทดลองสอนได้ค่ะ)(มีรีวิวของผู้ปกครอง ติวเตอร์ใจดีมากค่ะสอนเด็กพิเศษได้ค่ะ ใจเย็น)

แสดงเพิ่มเติม

ข้อมูลสถิติน่าสนใจเกี่ยวกับ

Saijai จำนวนประชากร
Saijai จำนวนประชากรเด็ก (แรกเกิด-14 ปี)
Saijai จำนวนประชากรสูงอายุ (60 ปี ขึ้นไป)
Saijai จำนวนสัตว์เลี้ยง สุนัข

รีวิวล่าสุด

Saijai
ยังไม่มีข้อมูลการรีวิว

คำถามที่พบบ่อยสำหรับการค้นหา สอนหลักสูตรการศึกษา

บริการรับสอนพิเศษของทางใส่ใจมีสอนในระดับใดบ้าง
หากว่าท่านกำลังมองหา ครูสอนพิเศษหรือติวเตอร์คุณภาพมากประสบการณ์ในด้านการสอน ที่จะช่วยสอนน้อง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องการเรียน โดยสามารถเลือกคุณสมบัติของ “ติวเตอร์” ที่ต้องการ พร้อมเลือกสถานที่ที่ต้องการเรียนได้ เช่น เรียนพิเศษที่บ้าน เรียนพิเศษนอกสถานที่ หรือเรียนพิเศษทางออนไลน์ สามารถเลือกเวลาเรียนได้ตามความสะดวกอีกด้วย ลองค้นหาติวเตอร์จากแพลตฟอร์ม ใส่ใจ เลย ตอนนี้

1. ระดับอนุบาล ติวเตอร์จะช่วยดูแลเรื่องการบ้าน และติวเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีเทคนิคสนุกๆ สอนเน้นความเข้าใจ ช่วยเพิ่มทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน สอนได้ทั้งคณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และช่วยเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา
2. ระดับประถมศึกษา ช่วยดูเรื่องรายงาน หรือการบ้าน ติวเข้าชั้นมัธยมปีที่ 1 เน้นการทบทวน เสริมเทคนิคต่าง ๆ และฝึกทักษะขั้นพื้นฐานของทุก ๆ วิชา
3. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ช่วยสอนการบ้าน ติวเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ช่วยทบทวนความรู้ก่อนเข้าสอบวิชาต่าง ๆ ติวเพื่อช่วยสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง
4. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ติวสอบตรง ตามความถนัดของวิชาต่าง ๆ ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ หรือ สอบไปเรียนต่อต่างประเทศ
5. ระดับมหาวิทยาลัย เน้นการสอนแบบตัวต่อตัว และแบบเป็นกลุ่มย่อย ๆ ในระดับการศึกษามหาวิทยาลัยทุกภาควิชา ทุกคณะทั้งหลักสูตรปกติ หรือหลักสูตรแบบอินเตอร์ เช่น ด้านบัญชี เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย ฟิสิกส์ วิศวะ ฯลฯ
ช่วงระดับการศึกษาของนักเรียนไทยที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันที่มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรทำอย่างไร และนักเรียนควรรับมืองอย่างไร
เมื่อนักเรียนเรียนในระดับที่สูงขึ้นการแข่งขันจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งต่อตัวนักเรียนเองและผู้ปกครองในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจที่พ่อแม่ผู้ปกครองอาจต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้บุตรหลานได้เรียนพิเศษหรือเรียนกวดวิชา ตัวนักเรียนอาจรู้สึกกดดันที่ต้องพยายามแข่งขันกับนักเรียนคนอื่น ๆ เพื่อให้ได้คะแนนดี ๆ และมีผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจ

พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถช่วยให้เด็กรับมือกับสิ่งเหล่านี้ด้วยวิธีการดังนี้ค่ะ

1. การมอบความรักเอาใจใส่อย่างเต็มที่ เพราะการที่เด็กจะประสบความสำเร็จในการเรียนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของโรงเรียนเพียงอย่างเดียวแต่ที่ส่งผลต่อความสำเร็จมากกว่าคือความเอาใจใส่ของพ่อแม่ผู้ปกครอง อ้างอิงจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนอร์ทแคโรไลนา ด้วยการทดสอบกลุ่มตัวอย่างของเด็กวัยรุ่นกว่าหนึ่งหมื่นคน
2. พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเข้าใจและไม่บังคับกดดันลูกจนเกินไป เนื่องจากภาวะความกดดันจากตัวเด็กเองมีมากแล้ว ที่ต้องตกอยู่ในภาวะการแข่งขันด้านการศึกษา หากได้รับแรงกดดันจากผู้ปกครองอีกจะเกิดผลเสียต่อตัวเด็กได้
3. ให้การสนับสนุนการศึกษาของลูกอย่างเต็มที่ ปัจจัยที่ทำให้เด็กสามารถพัฒนาตัวเอง นำไปสู่การแข่งขันได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยที่พร้อม ผู้ปกครองควรสนับสนุนอย่างเต็มที่

ทำไมนักเรียนในระดับชั้นมัธยมปลายจะต้องรักษาเกรดเพื่อที่จะได้เข้าเรียนในคณะที่ตัวเองต้องการในระดับมหาวิทยาลัย
การได้เข้าศึกษาต่อในคณะที่ต้องการของมหาวิทยาลัยในฝัน ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ไม่ว่าจะศึกษาต่อในหรือต่างประเทศ สิ่งแรกที่มหาวิทยาลัยใช้เป็นเกณฑ์พิจารณารับนักศึกษาเข้าเรียน คือเกรดเฉลี่ยของระดับชั้นมัธยมปลาย ทำให้นักเรียนมัธยมปลายส่วนใหญ่ต้องรักษาเกรดของตัวเองให้อยู่ในระดับดีเพื่อใช้ยื่นสมัครเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย ต้องรักษาเกรดเพื่อที่จะเข้าเรียนในคณะที่ต้องการในระดับมหาวิทยาลัย มีดังต่อไปนี้

1. แต่ละคณะของมหาวิทยาลัยมีการกำหนดเกรดขั้นต่ำในการรับสมัคร หมายความว่าหากผู้สมัครได้เกรดไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ทางมหาวิทยาลัยได้กำหนดเอาไว้ ทางมหาวิทยาลัยจะไม่รับพิจารณาให้ผู้สมัครเข้าเรียนในคณะนั้น
2. บางมหาวิทยาลัย นำเกรดแปลงมาเป็นคะแนน ในการคิดค่าน้ำหนัก หากได้เกรดสูงเท่ากับได้คะแนนมาก ได้เกรดต่ำคะแนนจะน้อยตามไปด้วย ซึ่งมีผลในการสมัครเรียนในระดับปริญญา
3. ได้เกรดสูงยิ่งได้เปรียบ ไม่เพียงแค่การสมัครสอบในประเทศเท่านั้นที่ใช้เกรดพิจารณา การศึกษาต่อในต่างประเทศจะพิจารณาจากเกรดด้วยเช่นกัน ข้อได้เปรียบอีกอย่างของคนที่รักษามาตรฐานของผลการเรียนไว้ได้เป็นอย่างดีนั้น สามารถใช้ในการสมัครทุนเรียนต่อได้ เพราะทุนการศึกษาส่วนใหญ่ได้กำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์รับทุนไว้แล้ว ซึ่งสิ่งแรกที่ดู คือผลการเรียนหรือเกรดนั่นเอง
4. นักเรียนที่มีผลการเรียนที่ดี มีตัวเลือกมากกว่า เพราะยิ่งมีเกรดสูง ถือว่าผ่านคุณสมบัติเกรดขั้นต่ำของหลาย ๆ คณะและมีโอกาสเลือกคณะที่ตัวเองใฝ่ฝันอยากจะเรียนได้

ทั้งหมดนี้คือข้อดีของการรักษาเกรดเพื่อเป็นประโยชน์แก่นักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย
ระดับการศึกษาระดับใดที่มีเด็กนักเรียนเรียนพิเศษเยอะที่สุด เพราะเหตุใด
ผลวิจัยของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งพบว่า จากจำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนพิเศษทั้งหมดสามารถแยกออกเป็นเปอร์เซ็นต์ตามระดับการเรียนได้ดังนี้ ระดับมัธยมปลาย 17 % , ระดับประถมปลาย 16 % , ระดับประถมต้น 16 % , ระดับมัธยมต้น 12 % , ระดับอุดมศึกษา 10 % , และระดับอนุบาล 7 %

เราต้องยอมรับความจริงกันก่อนว่า ในทุก ๆ ระดับการศึกษามีการแข่งขันกันสูง ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลไปจนถึงการเข้ามหาวิทยาลัย แม้ในประเทศไทยเราจะสนับสนุนและกระจายการศึกษาไปทุก ๆ พื้นที่ แต่ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้นในสมัยนี้ผลักดันให้นักเรียนหลาย ๆ คนตัดสินใจเรียนพิเศษ เพราะปัจจุบันเด็กไม่ได้แข่งขันแต่ในห้องเรียนแล้ว ต้องเตรียมตัว entrance เตรียมสอบตรง สอบโควตาอีก พ่อแม่จะมั่นใจได้ยังไงว่าลูกจะสู้นักเรียนโรงเรียนอื่นได้ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าแต่ละโรงเรียนมีคุณภาพและความสามารถในการผลิตนักเรียนไม่เท่ากัน และความสามารถของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนสามารถทำความเข้าใจได้จากห้องเรียนและอีกหลาย ๆ คนต้อง ทบทวนหาโจทย์เพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ในทุกๆ ระดับความรู้เราสามารถเลือกคุณครูหรือสถาบันที่เราจะเรียนพิเศษได้ หากสังเกตเปอร์เซ็นต์ของจำนวนนักเรียน ม. ปลาย 17 % , ประถมต้น และประถมปลาย 16 % ทั้งสามช่วงเวลานี้มีความเหมือนและแตกต่างกัน ระดับประถมเป็นการปูพื้นฐานเมื่อเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษา หากเป็นในกรุงเทพฯ เป้าหมายอยู่ที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียง ส่วนต่างจังหวัด นักเรียนส่วนใหญ่ต้องการเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด ส่วนระดับมัธยมปลาย เป็นที่รู้กันว่า ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นการสอบที่ยาก และยิ่งยากหากเป้าหมายของนักเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ คณะที่ต้องการนักเรียนที่มีความชำนาญและสนใจเป็นพิเศษ

ผลสำรวจของกรุงเทพฯ โพลชี้ว่า นักเรียน ม.ปลาย 60.2% ต้องเรียนพิเศษ และ 64.4% บอกระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปัจจุบันเหมาะสมดีอยู่แล้ว โดย 55.7% จะเลือกคณะที่ชอบโดยไม่สนใจเรื่องสถาบัน สุดท้ายการเรียนพิเศษจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้นักเรียนได้รู้วิธีการทำข้อสอบมากขึ้น