วิธีการทำงาน
ติดต่อเรา
ติดต่อเราโดยตรงผ่าน LINE OA เพื่อจองบริการที่คุณต้องการ
แจ้งรายละเอียดให้เราทราบ
เลือกบริการ วันที่ เวลา และสถานที่ที่คุณต้องการให้ตรงกับความต้องการของคุณ
ยืนยันการจองของคุณ
เราจะยืนยันการจองของคุณภายใน 24 ชั่วโมงผ่านทาง LINE OA
ประเภทงานบริการ
พี่เลี้ยงเด็ก พี่เลี้ยงเด็กชั่วคราว รับเลี้ยงเด็กที่บ้านตัวเอง พี่เลี้ยงสองภาษา พี่เลี้ยงวันหยุดบริการในเมืองยอดนิยม
บางเขน บางกอกน้อย ป้อมปราบศัตรูพ่า พระนคร บางพลัด บางบอน พระโขนง ภาษีเจริญ คลองสามวา ตลิ่งชันข้อมูลสถิติน่าสนใจเกี่ยวกับ
รีวิวล่าสุด
คำถามที่พบบ่อยสำหรับการค้นหา ดูแลเด็ก
1. ความรู้ด้านการส่งเสริมพัฒนาการ การส่งเสริมพัฒนาการทำได้ทั้งผ่านการเล่นและการทำกิจวัตรประจำวัน พี่เลี้ยงเด็กที่ดีควรหากิจกรรมเพื่อให้เด็กมีส่วนร่วมและช่วยเหลือตัวเองได้ตามวัยที่เหมาะสม
2. ความอดทนและใจรักเด็ก เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งลักษณะนิสัย อารมณ์และการแสดงออก บางคนว่านอนสอนง่าย บางคนชอบเล่นซนทั้งวัน หรือบางคนงอแง พี่เลี้ยงเด็กที่ดีควรมีใจรักเด็กเป็นพื้นฐาน พร้อมทำความเข้าใจและมีความอดทน พยายามหาวิธีที่ทำให้เด็กรู้สึกวางใจ ปลอดภัย และยอมเชื่อฟังพี่เลี้ยงในที่สุด
3. ความรู้ด้านการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและรู้เบอร์โทรศัพท์ในกรณีฉุกเฉิน ถ้าเด็กหกล้มมีแผลถลอกพี่เลี้ยงเด็กต้องรู้ว่าจะจัดการกับแผลถลอกอย่างไร ในกรณีฉุกเฉินพี่เลี้ยงเด็กต้องสามารถติดต่อหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือได้
4. ทักษะการสื่อสาร เด็กมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ พี่เลี้ยงเด็กต้องเข้าใจการสื่อสารกับเด็ก เช่น เข้าใจภาษากายของทารก การสื่อสารของเด็กเล็ก สำหรับเด็กที่สามารถสื่อสารด้วยทำพูดได้แล้ว พี่เลี้ยงเด็กต้องพูดคุยเพื่อให้เด็กเชื่อฟังโดยไม่ใช้การบังคับและให้เด็กรู้สึกสบายใจ
5. ทักษะการแก้ปัญหา หากไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงพี่เลี้ยงเด็กต้องรู้วิธีแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ตรงหน้าตามสมควรโดยไม่จำเป็นต้องรายงานหรือรอให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจทุกครั้ง
6. ความคิดสร้างสรรค์ คงไม่ดีแน่หากพี่เลี้ยงเด็กดูแลเด็กด้วยการให้เด็กดูสมาร์ทโฟนเป็นชั่วโมง พี่เลี้ยงเด็กที่ดีควรมีความคิดสร้างสรรค์เล่นกับเด็กเพื่อให้เด็กเพลิดเพลินได้นานหลายชั่วโมงและให้เด็กได้พักผ่อนตามเวลา
ทั้งหมดนี้คือคุณสมบัติและทักษะที่ดีที่คุณพ่อและคุณแม่ควรมองหาในตัวพี่เลี้ยงเด็กที่คุณเลือกมาเพื่อดูแลลูกน้อยของคุณค่ะ
1. คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยและทำความเข้าใจกับเด็ก ถึงความจำเป็นที่ต้องให้เด็กๆ อยู่กับพี่เลี้ยง ให้ความมั่นใจกับเด็กว่าคุณพ่อคุณแม่หาคนที่สามารถดูแลพวกเขาได้ดี
2. คุณพ่อคุณแม่ควรหาพี่เลี้ยงที่เข้ากันได้กับลูก ๆ และมีความพร้อมในการดูแลเด็ก
3. แนะนำให้ลูก ๆ ทำความรู้จักกับพี่เลี้ยง โดยอาจจะเล่าให้ฟังว่าพี่เลี้ยงเห็นใคร ชื่ออะไร คุยกับพี่ผ่านทางวิดีโอคอลก่อนวันเริ่มงานจริง เพื่อนลดความตึงเครียดในการเจอกันครั้งแรก
4. คุณพ่อคุณแม่ควรบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง เบอร์โทรฉุกเฉิน และสอนให้ลูกใช้โทรศัพท์เพื่อโทรหาคุณพ่อคุณแม่ได้ หรือโทรขอความช่วยเหลือได้ในกรณีฉุกเฉิน
5. มอบหมายงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เด็ก ๆ ทำระหว่างวัน เพื่อที่เด็ก ๆ จะได้มีกิจกรรมเบนความสนใจและไม่เอาแต่จดจ่อรอเวลาคุณพ่อคุณแม่กลับบ้าน
6. เมื่อถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องออกจากบ้านและต้องให้เด็ก ๆ อยู่กับพี่เลี้ยงเด็ก คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความมั่นใจกับเด็ก ๆ ว่าพี่เลี้ยงจะดูแลเด็ก ๆ เป็นอย่างดีและย้ำว่าพวกเขาสามารถโทรหาคุณได้เสมอ
1. วันเริ่มงาน ควรมีวันเริ่มงานให้ชัดเจนเพื่อประโยชน์และไม่เป็นการเสียเวลาของทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่เลี้ยงเด็ก
2. ชั่วโมงการทำงานและวันหยุด ตกลงเรื่องเวลาทำงาน จำนวนชั่วโมงการทำงานในแต่ละวันและวันหยุด เพื่อให้ตารางการทำงานของพี่เลี้ยงเด็กสอดคล้องกับเวลาทำงานของพ่อคุณแม่มากที่สุด และทั้งสองฝ่ายควรรักษาเวลา
3. ขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบ กำหนดความรับผิดชอบของพี่เลี้ยงเด็กให้ชัดเจน
4. ค่าแรงและกำหนดการจ่าย ค่าแรงของพี่เลี้ยงเด็กอาจขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงาน เช่นพี่เลี้ยงเด็กรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์และรายเดือน ซึ่งกำหนดการจ่ายเงินอาจจะแตกต่างกันไปตามลักษณะการทำงานนี้ด้วย
5. ค่าแรงในกรณีทำงานล่วงเวลา หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้พี่เลี้ยงเด็กทำงานล่วงเวลา ควรสอบถามความสมัครใจของพี่เลี้ยงและตกลงกันให้ชัดเจนเรื่องค่าแรง
6. การโพสต์รูปหรือข้อความเกี่ยวกับเด็กลงสื่อออนไลน์ (Social Medias) คุณพ่อคุณแม่คงไม่อยากให้มีรูปภาพ หรือข้อความเกี่ยวกับลูก ๆ ถูกโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย เช่น เฟสบุ๊ค หรืออินสตาแกรม โดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรทำความตกลงกับพี่เลี้ยงเด็กในเรื่องนี้ด้วย
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณพ่อและคุณแม่ควรพูดคุยตกลงกับพี่เลี้ยงเด็กให้ชัดเจนก่อนเริ่มงาน
สถานีกลางบางซื่อ สถานีรถไฟแห่งใหม่ของไทย
สถานีกลางบางซื่อ สถานีรถไฟแห่งใหม่ของไทย ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน สถานีแห่งนี้ จะเป็นศูนย์กลางทางรถไฟแห่งใหม่ของประเทศไทย โดยจะแทนที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ที่มีอยู่เดิมเป็นสถานีปลายทางสำหรับบริการรถไฟทางไกลทั้งหมดจากกรุงเทพฯ สถานีอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 (ซึ่งระบบรถไฟใหม่นี้ถูกวางเอาไว้ในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยในปี 2558-2565) เมื่อเสร็จแล้วจะแทนที่สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อที่มีอยู่และรวมเข้ากับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ บางซื่อจะเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีชานชาลา 26 แห่ง ซึ่งมีความยาวประมาณ 600 เมตร สถานีจะมีพื้นที่ใช้สอย 274,192 ตร.ม. การก่อสร้างสถานีมูลค่า 15,000 ล้านบาท กำลังสร้างบนพื้นที่ 2,325 ไร่ของที่ดินของ รฟท. และจะมีคลังซ่อมบำรุงสำหรับทั้งดีเซลและรถไฟฟ้า ทางยกระดับจะเชื่อมสถานีกับสถานีขนส่งหมอชิตใหม่ และถือได้ว่าสถานีรถไฟระบบใหม่นี้มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากด้วยการเชื่อมต่อเส้นทางการเดินทางสำคัญ ๆ ที่เปรียบเสมือนเส้นทางหลักในการเข้าถึงแหล่งเศรษฐกิจที่น่าสนใจระดับแนวหน้าของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น รถไฟทางไกลและรถไฟฟ้าสายสีแดง โดยบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท จำกัด เป็นผู้ให้บริการที่มุ่งตรงยังชานเมือง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 สาย คือ 1. รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม บางซื่อ-รังสิต รถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน 2562 2. รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน บางซื่อ-ตลิ่งชัน ในอนาคตมีแผนจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเส้นทางสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (Airport Rail Link) หรือแม้กระทั่งสายรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อม 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อของสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภาเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยกันนั้น สถานีจะมีสี่ชั้น สามชั้นบน และหนึ่งใต้พื้นดิน: ชั้นใต้ดิน : MRT สถานีบางซื่อ บนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และที่จอดรถ 1,624 คัน
ชั้นล่าง: อาคารเทียบเครื่องบินพร้อมพื้นที่จำหน่ายตั๋วและรอผู้โดยสาร นี่จะเป็นพื้นที่ปรับอากาศแห่งเดียวในสถานี
ชั้นสอง: ชานชาลารถไฟ 12 ราง แปดรางจะให้บริการรถไฟดีเซลทางไกล สี่รางจะให้บริการรถไฟโดยสาร SRT Red Dark และ Light Red Line
ชั้นสาม : ชานชาลารถไฟความเร็วสูง 10 ราง ทั้งสี่เส้นทางจะให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์และรถไฟความเร็วสูงดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภาที่เชื่อมท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา หกรางถูกสงวนไว้สำหรับการเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูง (HSR) ในอนาคตไปยังหนองคาย หัวหิน และเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีการวางแผนเป็นอนุสรณ์สถาน 186,030 ตร.ม. ถึงรัชกาลที่ 5 หรือที่เรียกว่า "บิดาแห่งการรถไฟแห่งประเทศไทย" แม้ว่าคาดว่าจะเปิดหลังจากสถานี
5 วิธีที่จะทำให้การเรียนทางไกลได้ผลในวัยเรียน
1. ปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของเด็ก การเรียนผ่านหน้าจอหรือเรียนออนไลน์ ครูผู้สอนควรให้เด็กแสดงวิดีโอของตัวเอง เพื่อให้ได้ยินเสียงและเห็นเด็กระหว่างการเรียน โดยครูไม่ได้เป็นผู้สอนแต่เพียงคนเดียว ควรให้เด็กแต่ละคนมีส่วนร่วมโต้ตอบ การเรียนออนไลน์อาจไม่เหมาะกับเด็กเล็ก จึงควรหากิจกรรมระหว่างเรียนเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก และสร้างความสนุกสนานระหว่างเรียน ไม่ควรเป็นการเรียนที่ตึงเครียดเกินไป
2. ใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์: เด็กอายุระหว่าง 2 ถึง 7 ปียังอยู่ในวัยที่กำลังพัฒนา ซึ่งยังไม่เหมาะสมกับการเรียนรู้ผ่านหน้าจอ ดังนั้นครูผู้สอนต้องมีความคิดสร้างสรรค์ และพยายามดึงดูดความสนใจของเด็ก โดยอาจจะให้เด็กและผู้ปกครองได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ ผลัดกันแสดงผลงานการประดิษฐ์ หรือทำวิดีโอสำรวจบริเวณบ้านของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนไปกับการเรียนนั้น ๆ
3. ผู้ปกครองต้องมีส่วนร่วม: ไม่ควรปล่อยให้เด็กเรียนออนไลน์ตามลำพัง ผู้ปกครองควรมีความรับผิดชอบอื่นนอกเหนือจากการสนับสนุนบทเรียน ควรจัดให้มีการเข้าร่วมการประชุมเสมือนจริงเพื่อติดตามและได้พูดคุยถึงความท้าทาย หรือผู้ปกครองอาจมีข้อเสนอแนะให้กับครูผู้สอนได้นำมาปรับใช้เพื่อให้การเรียนเกิดผลยิ่งขึ้น
4. การสร้างความสัมพันธ์ทางไกลเป็นสิ่งสำคัญ: ความสัมพันธ์คือรากฐานของโรงเรียนของเรา แม้ว่าเราจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่เราสามารถติดต่อและแสดงความห่วงใยได้ คุณครูอาจจัดทำตารางการรับผิดชอบในการเขียนอีเมลรายวันถึงผู้ปกครองหรือนักเรียน เพื่อให้ได้สื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ
5. ดนตรีเป็นสิ่งมหัศจรรย์: เด็ก ๆ ตอบสนองต่อการร้องเพลงและการเต้นออนไลน์ได้ดี สำหรับเด็ก การเข้าร่วมในเพลงหรือการเต้นรำเป็นวิธีที่ง่ายในการมีส่วนร่วมกับหน้าจอ เพราะพวกเขาสามารถทำตามผู้นำได้
เคล็ดลับสำคัญ ในการสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กเล็ก
การสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กเล็กอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะเด็กเล็กมีความสนใจแค่ช่วงสั้นๆ เรามีเคล็ดลับ 4 ข้อที่จะช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็กได้ผล
1. ทำความเข้าใจในวิธีที่เด็กเล็กเรียนรู้ พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น คือผู้สอนต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กเล็ก และต้องเข้าใจว่าแม้เด็กจะอยู่ในวัยเดียวกัน แต่เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการทั้งทางร่างกายและการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น เด็กบางคนยังไม่สามารถกระโดดหรือยืนด้วยขาข้างเดียวได้ เด็กบางคนยังจับดินสอไม่เป็น การทำความเข้าใจเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ และช่วยให้เราตระหนักว่ากิจกรรมที่เปลี่ยนแปลงและผสมผสานเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกระตุ้นให้เด็กๆ ในทางกลับกัน การคาดหวังให้เด็กเล็กให้ความสนใจเป็นระยะเวลานานในบทเรียนที่เน้นครูเป็นศูนย์กลาง นั้นจะเป็นได้ได้ยาก ดังนั้นวางแผนชั้นเรียนของคุณ แต่เตรียมปล่อยวางและปรับเปลี่ยนกิจกรรมตามความต้องการของเด็ก
2. ทำความเข้าใจว่าการเล่นกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของเด็กให้เรียนรู้อย่างไร ในช่วงปีแรกๆ เด็กๆ เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ทุกสิ่ง พยายามทำบทเรียนของคุณให้น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีตัวการ์ตูนที่ชั้นเรียนชื่นชอบ คุณสามารถสร้างเรื่องราวหรือสถานการณ์กับพวกเขาได้ ประดิษฐ์เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวละครทำในช่วงสุดสัปดาห์ พวกเขาเล่นฟุตบอลหรือวาดภาพ? พวกเขากินอะไรเป็นอาหารกลางวัน - แอปเปิลหรือแฮมเบอร์เกอร์? มีโอกาสมากมายที่จะแนะนำภาษาใหม่ให้กับกิจกรรมประเภทนี้ เมื่อเป็นตัวการ์ตูนที่เด็กคุ้นเคย เด็กทำให้เด็กสนุกและคิดภาพตามได้ง่ายขึ้น การเรียนรู้ผ่านการเล่นในลักษณะนี้จะช่วยให้เด็กๆ สนุกสนานไปกับการเรียนรู้และพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. พูดคุยกับเด็กและให้กำลังใจ แสดงความสนใจในสิ่งที่พวกเขากำลังทำ และอย่าลืมแสดงความชื่นชมเมื่อเด็กได้ใช้ความพยายามในการทำภารกิจที่รับมอบหมาย ไม่ว่าภารกิจนั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ให้แน่ใจว่าคุณสนับสนุนเด็กเพื่อให้พวกเขารู้สึกมั่นใจ การชื่นชมในความพยายามของพวกเขาเมื่อพวกเขาพบบางสิ่งที่ยากลำบากเพื่อที่พวกเขาจะไม่ยอมแพ้ สิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมความคิดในการเติบโต นั่นคือความเต็มใจที่จะเปิดรับการเรียนรู้
4. ปรับตัวเข้ากับเด็กและเห็นอกเห็นใจ การสร้างความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญมากในห้องเรียน จะช่วยให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้จัดการกับความรู้สึกของตนเอง และส่งเสริมการแบ่งปัน การผลัดกันเล่น และเป็นเพื่อนที่ดี สร้างความสัมพันธ์กับเด็กโดยอิงจากสิ่งที่พวกเขาสนใจ มันจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าพวกเขาชอบอะไรและสนใจอะไร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
SAIJAI "ใส่ใจ" เป็นเพียงแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการดูแลเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ ครูสอนพิเศษ/ติวเตอร์ แม่บ้าน/ทำความสะอาด คนขับรถ ดูแลสัตว์เลี้ยง เสริมสวย และช่างซ่อมบำรุงเท่านั้น "SAIJAI" ไม่ได้เป็นผู้ให้บริการหรือจ้างบุคคลใดให้บริการ ไม่มีสถานะเป็นนายจ้าง ผู้ว่าจ้าง ตัวแทน ผู้ร่วมทุน อย่างหนึ่งอย่างใดทั้งสิ้นของผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการเป็นผู้รับจ้างอิสระ ซึ่งผู้รับบริการเป็นผู้ว่าจ้าง คุณภาพการให้บริการเป็นความรับผิดชอบทั้งสิ้นของผู้ให้บริการเอง การเรียกใช้บริการจากผู้ให้บริการ อาจมีความเสี่ยง ซึ่งผู้รับบริการรับทราบและยินดีใช้บริการ บนความเสี่ยงใด ๆ ในความรับผิดชอบของตัวท่านเอง