วิธีการทำงาน
ติดต่อเรา
ติดต่อเราโดยตรงผ่าน LINE OA เพื่อจองบริการที่คุณต้องการ
แจ้งรายละเอียดให้เราทราบ
เลือกบริการ วันที่ เวลา และสถานที่ที่คุณต้องการให้ตรงกับความต้องการของคุณ
ยืนยันการจองของคุณ
เราจะยืนยันการจองของคุณภายใน 24 ชั่วโมงผ่านทาง LINE OA
ข้อมูลสถิติน่าสนใจเกี่ยวกับ
รีวิวล่าสุด
คำถามที่พบบ่อยสำหรับการค้นหา ดูแลเด็ก
1. พี่เลี้ยงเด็กต้องมีความอดทนสูง คุณพ่อคุณแม่ต้องมั่นใจว่าพี่เลี้ยงเด็กต้องมีความเข้าใจเด็ก สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี และที่สำคัญที่สุดคือเป็นคนที่มีความอดทนสูง
2. พี่เลี้ยงเด็กควรรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรืออุบัติเหตุ พี่เลี้ยงต้องมีความรู้และทักษะการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และสามารถช่วยเหลือเด็กได้ทันที เช่น เด็กที่อยู่ภายใต้การดูแลเกิดอุบัติเหตุหกล้ม มีแผลถลอก พี่เลี้ยงต้องรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อของแผล เป็นต้น ดังนั้นคุณพ่อและคุณแม่ควรเลือกพี่เลี้ยงที่มีทักษะด้านการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพราะเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ
3. พี่เลี้ยงเด็กควรมีทักษะการแก้ไขปัญหา พี่เลี้ยงจะต้องรู้วิธีการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งผู้ว่าจ้างเสมอไปหากปัญหานั้นไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรง
4. ทำอาหารเป็น ถือเป็นอีกหนึ่งทักษะที่พี่เลี้ยงเด็กจำเป็นต้องมี พี่เลี้ยงไม่ได้มีหน้าที่แค่ดูแลเด็กอย่างเดียวเท่านั้น แต่พี่เลี้ยงอาจจะต้องเตรียมอาหารให้เด็ก ๆ รับประทานในแต่ละมื้อด้วย หากอาหารอร่อยถูกปาก เด็กจะเจริญอาหารและอารมณ์ดี ที่สำคัญที่สุดที่พี่เลี้ยงต้องใส่ใจและจดจำด้วยว่าเด็ก ๆ ที่ดูแลนั้น แพ้อาหารอะไรบ้าง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจากการรับประทานสิ่งที่แพ้เข้าไป
5. มีความคิดสร้างสรรค์ในการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก พี่เลี้ยงจะต้องเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถร่วมทำกิจกรรมกับเด็ก ๆ ในระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิชาการหรือสันทนาการ เช่น พี่เลี้ยงเด็กอาจจะสอนเด็กนับเลข ฝึกการอ่าน หรือระบายสีเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์เหล่านี้
1. คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยและทำความเข้าใจกับเด็ก ถึงความจำเป็นที่ต้องให้เด็กๆ อยู่กับพี่เลี้ยง ให้ความมั่นใจกับเด็กว่าคุณพ่อคุณแม่หาคนที่สามารถดูแลพวกเขาได้ดี
2. คุณพ่อคุณแม่ควรหาพี่เลี้ยงที่เข้ากันได้กับลูก ๆ และมีความพร้อมในการดูแลเด็ก
3. แนะนำให้ลูก ๆ ทำความรู้จักกับพี่เลี้ยง โดยอาจจะเล่าให้ฟังว่าพี่เลี้ยงเห็นใคร ชื่ออะไร คุยกับพี่ผ่านทางวิดีโอคอลก่อนวันเริ่มงานจริง เพื่อนลดความตึงเครียดในการเจอกันครั้งแรก
4. คุณพ่อคุณแม่ควรบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง เบอร์โทรฉุกเฉิน และสอนให้ลูกใช้โทรศัพท์เพื่อโทรหาคุณพ่อคุณแม่ได้ หรือโทรขอความช่วยเหลือได้ในกรณีฉุกเฉิน
5. มอบหมายงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เด็ก ๆ ทำระหว่างวัน เพื่อที่เด็ก ๆ จะได้มีกิจกรรมเบนความสนใจและไม่เอาแต่จดจ่อรอเวลาคุณพ่อคุณแม่กลับบ้าน
6. เมื่อถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องออกจากบ้านและต้องให้เด็ก ๆ อยู่กับพี่เลี้ยงเด็ก คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความมั่นใจกับเด็ก ๆ ว่าพี่เลี้ยงจะดูแลเด็ก ๆ เป็นอย่างดีและย้ำว่าพวกเขาสามารถโทรหาคุณได้เสมอ
1. วันและเวลาทำงาน คุณพ่อและคุณแม่ควรมีแผนการทำงานของพี่เลี้ยงที่ชัดเจน เช่นกำหนดวันทำงาน วันหยุด และเวลาทำงานในแต่ละวันให้ชัดเจน และควรถามความสมัครใจหากต้องการให้พี่เลี้ยงทำงานล่วงเวลา
2. ขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบ คุณพ่อคุณแม่ควรระบุขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบของพี่เลี้ยงเด็กให้ชัดเจน หากต้องการให้พี่เลี้ยงทำงานบ้านหรืองานอื่น ๆ นอกจากดูแลเด็ก ควรตกลงกันให้ชัดเจนก่อนเริ่มงาน
3. ระยะเวลาการทดลองงาน หาดคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้พี่เลี้ยงทดลองงานก่อนสักระยะหนึ่งก่อนทำสัญญาว่าจ้าง ควรระบุช่วงระยะเวลาและเงื่อนไขในการทดลองงานให้ชัดเจน
4. ค่าจ้าง คุณพ่อคุณแม่ควรสอบถามและตกลงค่าจ้างของพี่เลี้ยงให้ชัดเจน และค่าจ้างควรจะสอดคล้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบ และจำนวนชั่วโมงทำงานในแต่ละวัน ประสบการณ์ในการทำงานอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้ประกอบการพิจารณาอัตราค่าจ้างได้
5. กรณีจ้างพี่เลี้ยงประจำแบบพักอาศัยร่วม คุณพ่อคุณแม่ต้องจัดการเรื่องที่พักให้กับพี่เลี้ยง รวมถึงอาหารในแต่ละวันตามตกลงกัน
6. ข้อตกลงในการอยู่อาศัยร่วมกัน คุณพ่อคุณแม่ควรบอกกล่าวพี่เลี้ยงให้ชัดเจนถึงกฎระเบียบต่าง ๆ สิ่งใดไม่ควรปฏิบัติของการอาศัยอยู่ร่วมกัน
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณพ่อและคุณแม่ควรพูดคุยตกลงกับพี่เลี้ยงเด็กให้ชัดเจนก่อนเริ่มงาน
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ แหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจสำหรับเด็กๆ
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ (Naval Museum) เป็นพิพิธภัณฑสถานแบบพิเศษที่รวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และอนุรักษ์วัตถุพิพิธภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับกองทัพเรือไทย อาทิเช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เคยใช้ในการรบ เรือรบจำลองของไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นจนถึงปัจจุบัน เรือดำน้ำรุ่นแรกของราชนาวีไทย (เรือมัจฉานุ) เรือหลวงพระร่วง เรือเหรา รวมทั้งยุทธนาวีครั้งสำคัญๆ พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองสมุทรปราการ ตรงข้ามกับโรงเรียนนายเรือ จากแยกบางนาไปสำโรงประมาณ 10 กิโลเมตร
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือแบ่งเป็น การจัดการแสดงกลางแจ้ง อาคาร 1 และ อาคาร 2
ในส่วนของ การจัดการแสดงกลางแจ้ง จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ โดยจัดตั้งไว้บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าตัวอาคาร เช่น เรือดำน้ำ เรือ PBR เครื่องบิน HU-16B ปืนใหญ่โบราณ รถสะเทินน้ำสะเทินบก (LVT MK4) รถหุ้มเกราะ V-15 ปืนเรือ ขนาด 75/51 มม.และปืนล้อสนาม
อาคาร 1 เป็นอาคาร 2 ชั้น สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2515 ชั้นล่างแบ่งออกเป็น 3 ห้อง ห้องแรกจัดเป็นห้องเทิดพระเกียรติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ห้องที่ 2 เป็นห้องเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ห้องที่ 3 เป็นห้องจัดแสดงสรรพาวุธ
อาคาร 1 ชั้น 2 จัดแสดงห้องเทิดพระเกียรติ จอมพลเรือคนสำคัญ ห้องเครื่องลายคราม ห้องเครื่องแบบทหารเรือ ห้องธงราชนาวีและธงที่ใช้ในกองทัพเรือ
อาคาร 2 เป็นอาคาร 3 ชั้น สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2530
ชั้นที่ 1 จัดแสดงประภาคารแห่งแรกของประเทศไทย เรือโบราณ และอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น ตอร์ปิโด ปืนเที่ยง และทุ่นระเบิด
ชั้นที่ 2 จัดแสดงเรือในพระราชพิธีและการจัดขบวนเรือ รวมถึงเรือสำคัญในพระราชพิธี เช่น เรือพระนั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช นอกจากนี้ยังมีเรือรบสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ครุฑหัวเรือ เครื่องมือเดินเรือและอุปกรณ์ของชาวเรือ
ชั้นที่ 3 เป็นส่วนนิทรรศการพิเศษ จัดแสดงเหตุการณ์การสู้รบและการทำสงครามของทหารเรือที่สำคัญต่างๆ เช่นยุทธนาวีที่เกาะช้าง สงครามมหาเอเชียบูรพา ยุทธการบ้านชำราก จังหวัดตราด และการรบที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ร.ศ. 112 เป็นต้น
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือเปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 09:00 – 15:00 น. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เดินทางสะดวก มีลานจอดรถรองรับเพียงพอ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีเด็กๆ เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับราชนาวีไทย ได้เห็นอาวุธและเรือโบราณ โดยเฉพาะวันเด็กของทุกปี ทางพิพิธภัณฑ์จะมีการจัดงานวันเด็ก มีกิจกรรมต่างๆเพื่อให้เด็กได้สนุกสนานเพลิดเพลิน พร้อมรับความรู้กลับบ้านไปด้วย
รวมโรงเรียนนานาชาติในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
ด้วยปัจจุบันมีการแข่งขันทางการศึกษาสูง ผู้ปกครองที่มีฐานะส่วนใหญ่ต้องการส่งเสริมให้บุตรหลานได้เรียนในโรงเรียนที่มีบรรยากาศการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ มีครูอาจารย์ชาวต่างชาติเป็นผู้สอนในแต่ละวิชาเป็นหลัก เพื่อเป็นการปูพื้นฐานก่อนจะส่งบุตรหลานไปเรียนต่อยังต่างประเทศเมื่อถึงเวลาอันสมควร จังหวัดสมุทรปราการเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีโรงเรียนนานาชาติหลายแห่งมาก และคาดว่าธุรกิจสถานศึกษานานาชาติจะยิ่งเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เราได้รวบรวมโรงเรียนนานาชาติในเขตอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการมาไว้ที่นี่ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้ผู้ปกครองที่กำลังวางแผนส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติต่อไป
1. โรงเรียนนานาชาติไทย-สิงคโปร์ (Thai-Singapore International School TSIS) ตั้งอยู่เลขที่ 1000 หมู่ 5 ถนนศรีนครินทร์ ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ มีหลักสูตร Singapore curriculum เน้นสอน 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ค่าเทอมเริ่มต้นที่ 150,000 บาท/ปี
2. โรงเรียนประภามนตรี (Praphamontree Affiliated School - PPMAS) ตั้งอยู่เลขที่ 99/551 หมู่ 8 ถนนศรีนครินทร์ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นโรงเรียนเด็กเล็ก ตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลและประถมศึกษาตอนต้น มีหลักสูตร Singapore curriculum เน้นสอน 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ค่าเทอมชั้นเตรียมอนุบาลเริ่มต้นที่ 200,000 บาท/ปี และชั้นประถมศึกษา เริ่มที่ 310,000 บาท/ปี
3. โรงเรียนไทยซิกซ์ (Thai Sikh International School - Senior Campus) ตั้งอยู่เลขที่ 1799 1-2 ถนนทางรถไฟสายเก่าปากน้ำ ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง เปิดสอนชั้นปี 7-13 (key stage 3 -5) มีหลักสูตร UK Curriculum มีอัตราค่าเล่าเรียนที่ต่ำที่สุดประเทศไทยเมื่อเทียบกับโรงเรียนนานาชาติอื่นๆ ค่าเทอมเริ่มตั้งแต่ 228,000 บาท/ปี
4. Bangkok Chicago Christian International School ตั้งอยู่เลขที่ 99/558 หมู่ 8 ถนนศรีนครินทร์ ตำบลบางเมือง อำเภอเมืองสมุทรปราการ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษา มีทั้งระบบจีน และระบบอเมริกา ค่าเทอมเริ่มตั้งแต่ 165,000 บาท/ปี ในระดับชั้นอนุบาล ไปจนถึง 420,000 บาท/ปี ในชั้นมัธยมศึกษา
5. Double Trees International School Srinakarin ตั้งอยู่เลขที่ 21 ซอย 43 (เกษม) ถนนสุขุมวิท อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นโรงเรียนนานาชาติอนุบาล รับเด็กอายุตั้งแต่ 1.5 – 6 ขวบ เน้นสอน 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน
ประโยชน์ของนมแม่
น้ำนมแม่ ถือเป็นอาหารชั้นเลิศของลูกวัยทารกในช่วง 6 เดือนแรก ช่วยเสริมภูมิคุ้มต้านทานโรค ทำให้มีร่างกายแข็งแรง ฟื้นตัวเร็วหากเจ็บป่วย ป้องกันการติดเชื้อทางเดินอาหาร โรคภูมิแพ้ อีกทั้งทำให้มีระดับไอคิวสูงเพราะนมแม่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมอง และเป็นการสร้างความผูกพันระหว่างแม่และลูก ทำให้ทารกรู้สึกปลอดภัย
ส่วนข้อดีของตัวผู้เป็นแม่คือ ช่วยลดความเสี่ยงของการโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ โรคเบาหวาน ลดความเสี่ยงภาวะตกเลือดหลังคลอดบุตร และประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องซื้อนมผง สามารถช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลของลูกน้องได้ เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคดี นอกจากนี้ยังช่วยลดน้ำหนักที่เพิ่มมาระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้รูปร่างคุณแม่กลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น
ควรให้นมลูกเมื่อไหร่
องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ แนะนำว่าควรให้นมลูกทันทีในช่วง 1 ชั่วโมงหลังคลอด และควรให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน จากนั้นก็กินต่อเนื่องควบคุมกับอาหารเสริมที่มีประโยชน์และปลอดภัยไปจนถึงอายุ 2 ขวบ สารอาหารในน้ำนมแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ 3 ระยะ ได้แก่
น้ำนมระยะที่ 1 (Colostrum) หรือระยะหัวน้ำนม ช่วง 1-3 วันแรก น้ำนมจะมีสีเหลือง เนื่องจากมีทีแคโรทีนสูง ประกอบด้วยโปรตีนต่างๆ ที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีเกลือแร่และวิตามิน รวมทั้งสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสมองและการมองเห็น อีกทั้งยังช่วยขับขี้เทาของลูกด้วย
น้ำนมระยะที่ 2 (Transitional Milk) ช่วง 5 วัน – 2 สัปดาห์แรก น้ำนมจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น มีไขมันและน้ำตาลเพิ่มขึ้น
น้ำนมระยะที่ 3 (Mature Milk) หลังจาก 2 สัปดาห์แรกผ่านมาไป น้ำนมแม่จะเริ่มมีปริมาณมากขึ้น และมีสารอาหารหลักเพิ่มขึ้น ทั้งโปรตีน ไขมันที่เป็นกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย น้ำตาลแลคโตสซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตสายสั้นมากกว่า 200 ชนิด มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญอีกมากมาย เช่น วิตามิน A, B1, B2, B6, B12, C, D, E, K รวมถึงธาตุเหล็ก แคลเซียม และไอโอดีน
ช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด เด็กจะต้องการกินนมค่อนข้างถี่ ประมาณทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ทารกจะกินนมครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยเพราะกระเพาะของเด็กแรกเกิดมีขนาดเพียงประมาณเท่าลูกเชอร์รี่ เมื่ออายุได้ 1 สัปดาห์จึงจะขยายขนาดเท่าประมาณลูกปิงปอง การกินถี่อาจทำให้ทารกมีอาการง่วง เพราะต้องตื่นทุก 3-4 ชั่วโมง และทารกจะสามารถนอนได้นานมากกว่า 6 ชั่วโมง หลังจากมีอายุ 3 เดือน
เมื่อน้ำนมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย จึงมีการสนับสนุนให้ทารกได้กินนมแม่จนถึง 6 เดือน หรือหากคุณแม่สามารถกระตุ้นน้ำนมให้มีน้ำนมได้นานถึง 1 ปี หรือ 2 ปี ให้ลูกได้กินควบคู่กับอาหารหลักตามวัยก็จะยิ่งดี
SAIJAI "ใส่ใจ" เป็นเพียงแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการดูแลเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ ครูสอนพิเศษ/ติวเตอร์ แม่บ้าน/ทำความสะอาด คนขับรถ ดูแลสัตว์เลี้ยง เสริมสวย และช่างซ่อมบำรุงเท่านั้น "SAIJAI" ไม่ได้เป็นผู้ให้บริการหรือจ้างบุคคลใดให้บริการ ไม่มีสถานะเป็นนายจ้าง ผู้ว่าจ้าง ตัวแทน ผู้ร่วมทุน อย่างหนึ่งอย่างใดทั้งสิ้นของผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการเป็นผู้รับจ้างอิสระ ซึ่งผู้รับบริการเป็นผู้ว่าจ้าง คุณภาพการให้บริการเป็นความรับผิดชอบทั้งสิ้นของผู้ให้บริการเอง การเรียกใช้บริการจากผู้ให้บริการ อาจมีความเสี่ยง ซึ่งผู้รับบริการรับทราบและยินดีใช้บริการ บนความเสี่ยงใด ๆ ในความรับผิดชอบของตัวท่านเอง